วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสุนัขที่คุณอาจจะยังไม่ทราบ

1. สุนัขที่เล็กที่สุดคือ สายพันธุ์ ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย มีความกว้างของไหล่เพียง 2.5" และมีน้ำหนักเพียง 110 กรัม

2. สุนัขที่ตัวใหญ่ที่สุดคือ สายพันธุ์ อิงลิช มาสทิฟฟ์ มีน้ำหนักถึง 128 กก.


3. สุนัขที่สูงที่สุด คือ สายพันธุ์ เกรทเดรน มีความสูงถึง 44 นิ้ว


4. ปี 2554 มีสุนัขอยู่ในโลกประมาณ 400 ล้านตัว
5. ในประเทศอังกฤษสมัยก่อน คำว่า hound หมายถึงสุนัขทุกสายพันธุ์
6. ในความเป็นจริงแล้ว  สุนัขไม่ได้มองเห็นภาพแค่เพียงสีขาว-ดำ  สุนัขสามารถมองเห็นสีได้  แต่เป็นการมองเห็นสีได้ในระดับความถี่ที่จำกัด ซึ่งแตกต่างกันตาของคนเรา สีที่มองเห็นได้คือ สีเหลือง และสีฟ้า


7. สุนัขมีสายตาไม่ดีมาก แต่สามารถแยกแยะการเคลื่อนไหว ได้ดีกว่ามนุษย์

8. ถึงสุนัขจะมีสายตาที่ไม่ดี แต่สามารถมองเห็นในช่วงเวลากลางคืนได้ดีกว่ามนุษย์


9. สุนัขมีกล้ามเนื้อ 18 หรือมากกว่า ที่จะเอียง หมุน หรือ ขยับหู
10. สุนัขสามารถได้ยินเสียง 4 เท่าของระยะการได้ยินของมนุษย์



11. เมื่ออายุครบ 4 สัปดาห์ สุนัขจะเริ่มมีพัฒนาการในการเปล่งเสียง
12. สุนัขส่วนใหญ่มีความสามารถในการเข้าใจคำพูดและท่าทาง ได้ถึง 250
13. สุนัขสามารถนับได้ถึง 5 และสามารถคำนวณคณิตศาสตร์อย่างง่ายได้
14. ช่วงอายุเฉลี่ยที่ฉลาดที่สุด คือ 2 ปี
15. สุนัขนอนหลับเฉลี่ย 10 ชั่วโมง ต่อ วัน


16. สุนัขก็ฝันได้เหมือนมนุษย์
17. สุนัขสามารถรับประทานอาหารได้หลากหลาย และสามารถทานผักและผลไม้ได้ ไม่เหมือนแมวที่ทานได้เฉพาะเจาะจง
18. นอกจากการฝึกสุนัขอย่างเป็นทางการ สุนัขยังสามารถเรียนรู้ได้จากการสังเกตุ
19. โกลเด้นรีทีฟเวอร์ สายพันธุ์ยอดนิยม ถูกพบที่ประเทศสก๊อตแลนด์ กลางปี คศ. 1800
20. สุนัขบางตัว มีความสามารถที่น่าทึ่ง คือ การสามารถตรวจสอบโรคมะเร็งบางชนิด จากการดมกลิ่นได้
21. สุนัขมีความสามารถในการดมกลิ่น สามารถตรวจสอบวัตถุระเบิด ยาเสพติด หรือ สิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ได้

Credit: https://www.doggiebuddy.com/50-amazing-dog-facts/

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในสุนัขแก่


ชีวิตมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสุนัขของคุณ จากระยะเวลาที่คุณนำเค้าเข้ามาในบ้านเมื่อยังเป็นเด็ก และผ่านไปไม่นาน จนเค้าแก่ตัวลง ในชั่วพริบตา และในปัจจุบัน เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ช่วยให้สัตว์แพทย์ สามารถที่จะรักษา และจัดการกับโรคภัยต่างๆที่มากับสุนัขได้
จากที่เราทราบกันว่าอายุของสุนัข จะเท่ากับ 7 เท่า เมื่อเทียบกับชีวิตมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงช่วงอายุสุนัขแต่ละสายพันธุ์จะแตกต่างกันไป โดยจะขึ้นกับขนาดของสุนัข เช่น สุนัขสายพันธุ์ใหญ่ จะมีอายุน้อยกว่า 10 ปี ในขณะที่สุนัขสายพันธุ์เล็ก เช่น ชิวาว่า อาจจะมีอายุได้ถึง 18 ปีเลยทีเดียว ช่วงอายุของสุนัขที่ถือว่าเข้าสู่วัยชรา คือ ช่วงอายุที่ 25% ของช่วงอายุที่เหลือสุดท้าย
โดยสัตว์แพทย์ได้ระบุว่าโรคสำหรับสุนัขแก่ที่พบได้บ่อย คือ

โรคข้อเข่าเสื่อม


โรคข้อเข่าเสื่อมมีความสัมพันธ์กับอายุของสุนัข โดยกระดูกอ่อนที่ช่วยปกป้องข้อต่างๆ จะค่อยๆเสิ่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่เจ้าของสุนัขสามารถช่วยบรรเทาให้โรคนี้เกิดขึ้นได้ช้าลง ดังนี้
อย่างแรก ต้องรักษาน้ำหนักของสุนัขให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม สุนัขที่มีน้ำหนักเยอะ หรือ อ้วนเกินไป จะทำให้ข้อต่อต่างๆ ต้องรับน้ำหนัก และทำงานหนักจนเกินไป สุนัขทุกสายพันธ์ุสามารถเป็นโรคนี้ได้ แต่ที่ปรากฎเด่นชัดมากที่สุด คือ สุนัขสายพันธุ์ใหญ่
อย่างที่สอง ควรหมั่นตรวจสอบ และสังเกตุ สิ่งผิดปกติ ว่าสุนัขเริ่มมีอาการของโรคดังกล่าว หรือไม่ เช่น ไม่กระโดดขึ้นบันได หรือ กระโดดขึ้นที่สูง เหมือนที่ผ่านมา ควรปรึกษาสัตว์แพทย์ เกี่ยวกับอาหารที่ช่วยเพิ่มความคล่องตัว และบรรเทาโรคข้อเข่าเสื่อมได้

โรคทางทันตกรรม


โรคทางทันตกรรม สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสายพันธุ์ และทุกขนาด ถ้าไม่รักษาให้ถูกวิธี จะนำไปซึ่ง ความเจ็บปวด สูญเสียฟัน และติดเชื้อในกระแสเลือดได้
การดูแลรักษาฟันสุนัข เช่น การแปรงฟัน หรือ กลุ่มขนมขบเคี้ยวสุนัข ที่ช่วยขัดฟัน ซึ่งจะช่วยลดหินปูน หรือ อาหารกลุ่มพิเศษ ที่ช่วยบำรุงสุขภาพฟัน เมื่อสุนัขเริ่มมีปัญหาสุขภาพฟัน ควรพาไปพบสัตว์แพทย์ เพื่อทำความสะอาดฟัน อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการที่รุนแรงมากขึ้น

โรคอ้วน


สุนัขมากกว่าครึ่งหนึ่งในสหรัฐ มีน้ำหนักเกิน และอ้วน และเจ้าของหลายคน ไม่ได้ตระหนักว่า สุนัขที่อ้วนจะมีปัญหาของโรคต่างๆ เช่น โรคข้อ โรคเบาหวานและโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหัวใจ
การออกกำลังกาย และการควบคุมปริมาณแคลอรี่ในอาหารสุนัข จะช่วยควบคุมน้ำหนักของสุนัขให้เหมาะสม สุนัขแก่จะมีกิจกรรมน้อยกว่าสุนัขวัยรุ่น และต้องการปริมาณแคลอรี่ที่ต่างออกไป อาหารสำหรับสุนัขแก่ จะมีปริมาณของสารอาหารที่สมดุล เหมาะสมกับวัย อัตราส่วนของโปรตีนและไขมัน จะแตกต่างจากอาหารสำหรับสุนัขโต ควรปรึกษาสัตว์แพทย์ เกี่ยวกับ อาหาร และ วางแผนการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และ ถูกต้อง

ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)


ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำนั้น เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ เช่น ไทรอกซิน (T4) และ ไตรไอโอโดไทโรนีน (T3) ออกมาได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะด้วยสาเหตุความผิดปกติจากต่อมไทรอยด์โดยตรงเอง ที่เรียกว่า ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำแบบปฐมภูมิ  หรือเกิดจากความผิดปกติของต่อมใต้สมอง แล้วส่งผลทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติตามมา เนื่องจากขาดฮอร์โมน Thyroid stimulating hormone (TSH) ที่เราเรียกว่า ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำแบบทุติยภูมิ ก็ได้ โดยจะส่งผลต่อระบบเผาผลาญอาหารผิดปกติ แต่ปัจจุบันโรคนี้สัตว์แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยโรค โดยการเจาะเลือด และรักษาได้ด้วยยา

โรคมะเร็ง


สุนัขสามารถเป็นโรคมะเร็งได้เช่นเดียวกันกับมนุษย์ เช่น มะเร็งกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น มะเร็งเป็นโรคที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในสุนัขทุกตัว สิ่งที่เจ้าของทำได้ดีที่สุดคือ หมั่นสังเกตลักษณะความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสุนัข และพาไปพบสัตวแพทย์ให้ทันท่วงที โดยสัญญาณอันตรายของมะเร็งสังเกตได้จากหลายลักษณะ อาทิ มีการบวมขึ้นอย่างผิดปกติที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอย่างต่อเนื่อง เกิดแผลที่ไม่หายและเป็นเรื้อรัง น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว มีเลือดหรือสารคัดหลั่งออกมาจากช่องเปิดต่างๆ ในร่างกาย มีกลิ่นตัวผิดปกติ เจ็บขาเรื้อรัง หายใจลำบาก เป็นต้น  ควรพาสุนัขไปตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจเช็คหาเชื้อมะเร็ง และโรคอื่นๆ ซึ่งจะทำให้สามารถป้องกัน และรักษาได้อย่างทันท่วงที

Credit: http://www.petmd.com/dog/centers/nutrition/evr_dg_common-senior-dog-diseases





Perfectly Timed Photos of Dogs































Credit: http://www.lifewithdogs.tv/2015/06/30-perfectly-timed-photos-of-dogs/

การบ่งชี้ว่า ธรรมชาติ และ ออแกนิค หรือแค่คำโฆษณาบนฉลาก

                 
 เมื่อคุณไปซื้ออาหารให้สุนัข คุณเคยสังเกตุ หรือ อ่านข้อความบนฉลาก หรือไม่ บางสิ่งที่ระบุในฉลาก จะถูกกำหนดด้วยกฎหมาย เรามาเรียนรู้ ความหมาย ของข้อความบนฉลาก กันเถอะ ในการซื้ออาหารครั้งถัดไป คุณสามารถเลือกอาหารที่เหมาะสมให้กับสุนัขของคุณที่สุด
AFFCO หน่วยงานผู้ควบคุมอาหารสัตว์ในอเมริกา ได้จัดทำข้อกำหนด สำหรับข้อความที่กำหนดในฉลาก เช่น 
Chicken for dog สินค้าจะต้องประกอบไปด้วยไก่ 95% ไม่รวมถึงน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิต
Chicken dinner for dog การระบุคำว่า "dinner" หรือ คำอื่นที่คล้ายๆกัน เช่น "entree" หรือ "formula" นั่นหมายความว่า สินค้าจะต้องประกอบไปด้วยไก่ ไม่ต่ำกว่า 25%




Dog Food with Chicken  สำหรับคำว่า "with" หมายถึงสินค้าจะต้องประกอบไปด้วยไก่ ไม่ต่ำกว่า 3%


Chicken Flavoring คำว่า "flavor" สามารถระบุในฉลากได้ แต่ไม่มีการกำหนด % ที่เฉพาะเจาะจง



เงื่อนไขอื่นๆ
ธรรมชาติ (Natural)


 AFFCO กำหนดไว้ว่า ถ้าจะระบุคำว่า "ธรรมชาติ (Natural)" จะต้องเป็นเป็นแหล่งที่มาจาก พืช หรือ สัตว์ รวมถึง ที่ไม่ผ่านกระบวนการผลิต หรือ ได้ผ่านกระบวนการผลิต กระบวนการทางกล (Physical process) กระบวนการทางความร้อน(Heat process) การสกัดให้บริสุทธิ์ (Purification extraction) หรือ การหมัก (Fermentation) แต่จะต้องไม่มีกระบวนการทางเคมีใดๆ หรือ การเติมสารปรุงแต่งใดๆ ยกเว้น อยู่ในปริมาณเล็กน้อย ตามที่ GMP (Good manufacturing practice) กำหนด

ออแกนิค (Organic)


สินคาเกษตรอินทรีย์ ที่มีการระบุในฉลากว่าเป็น ออแกนิค จะต้องมีกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับ ข้อกำหนด USDA โดยผลิตภัณฑ์ทางด้านเกษตรอินทรีย์ จะต้องผ่านกระบวนการที่ได้รับการรับรองโดยแต่ละขั้นตอนจะต้องเป็นทางด้านชีวภาพ และขั้นตอนการผลิตที่ส่งเสริมความสมดุลของระบบนิเวศ และความหลากลายทางชีวภาพ กระบวนการต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็น ออแกนิค การใช้ปุ๋ยสังเคราะห์ การใช้กากตะกอนจากน้ำเสีย การฉายรังสี และพันธุวิศวกรรม

เกรดอาหารคน (Food grade)


มาตรฐานด้านความปลอดภัย และสุขลักษณะในการผลิตสำหรับอาหารคน จะถูกกำหนดโดย องค์กรอาหารและยา (FDA) โดยผลิตภัณฑ์ที่บ่งชี้ว่าเป็น เกรดอาหารคน จะต้องมีกระบวนการผลิตตามมาตรฐานนี้ สำหรับโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ที่ต้องการชี้บ่งว่า Food grade จะต้องปฏิบัติตามาตรฐานที่กำหนด และถ้าส่วนผสมอันหนึ่งอันใด ไม่ใช่ food grade จะไม่ถือว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็น food grade

ดังนั้นก่อนที่จะซื้ออาหารสุนัข ควรจะศึกษาฉลากให้ถ่องแท้ ว่าสิ่งที่ระบุ หรือ บ่งชี้ มีองค์ความจริงหรือไม่ หรือ อาจจะเป็นแค่คำโฆษณาเกินจริง

Credit: http://www.petmd.com/blogs/nutritionnuggets/dr-coates/2014/december/are-natural-and-organic-just-words-dog-food-label-322-32294